นิทานธรรมกับคติสอนใจ
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
การเกิดที่คุ้มค่า
การเกิดที่คุ้มค่า
สาระสำคัญของการมีชีวิต
ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราอยู่ได้นานเท่าไร
แต่อยู่ที่ว่าเราเห็นคุณค่า ของการเกิดมาอย่างไรต่างหาก
มีลุกศิษย์อาศัยอยู่ในสำนักปรัชญาแห่งหนึ่ง
เขาได้เฝ้าเรียนวิชาความรู้กับอาจารย์เรื่อยมาอยู่มาวันหนึ่งพวกเขาได้ถกปรัชญาว่าด้วยความเหมาะสมเรื่องอายุของคนเรา
ต่างคนก็มีความคิดเห็นต่างกันออกไป เมื่อทั้งหมดไม่สามารถหาคำตอบที่เป็นจุดเป็นจุดรวมได้จึงพากันไปหาอาจารย์ แล้วถามข้อสงสัยนั้น
“ท่านอาจารย์คิดว่าคนเรามีอายุที่จะดำรงอยู่ในโลกนานเท่าไหร่ จึงชื่อว่ามีความเหมาะสมครับ?”
“70ปีก็เพียงพอแล้วล่ะ”
อาจารย์ตอบอย่างอารมณ์ดี “ไม่ใช่ว่ายิ่งอยู่นาน
ยิ่งมีผลดีต่อชีวิตเพราะสามารถทำอะไรได้ตามใจต้องการหรือครับ”? ลูกศิษย์ถามทำนองแย้งความคิดเห็นของอาจารย์
ฝ่ายอาจารย์เมื่อรับทราบความคิดเห็นของศิษย์ จึงกล่าวให้ข้อคิดว่า “อาจารย์ไม่คิดอย่างนั้น เพราะว่าคนเรานั้นมีความอยากไม่รู้จักจบสิ้น ถ้ารู้ว่าตนเองมีชีวิตอยู่ได้ถึงพันปี ทุกคนก็จะรู้สึกอายุน้อยอยู่ดี ก็จะเรียกร้องให้ที่จะมีอายุเพิ่มขึ้นเช่นเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รังแต่จะหลงกับเวลาที่ได้มา จนลืมคุณค่าที่ควรสร้างให้มีในตนเอง
จนในที่สุดก็ประมาทเพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอนั้น แทนที่จะได้ประโยชน์กลับเป็นการเสียประโยชน์จากเวลาที่ได้มาอีกต่างหาก”
“
แต่ว่าถ้าหากอาจารย์อยู่ได้ถึงพันปีก็จะสามารถถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ผู้คนได้มากนะครับ”?
อาจารย์ผู้ผ่านการใช้ชีวิตมานาน
และมีโลกทัศน์ที่กว้างกว่า
ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มให้กับความคิดของลูกศิษย์ด้วยความเอ็นดูว่า
“ถ้าอาจารย์สามารถอยู่ได้ถึงพันปีเช่นดังที่พวกเธอคิด เรื่องที่อาจารย์ต้องตอบลุกศิษย์ ก็คงไม่ต่างจากเรื่องที่พวกเธอถามในวันนี้หรอก เพราะความคิดเรื่องอายุพันปี ก็จะน้อยสำหรับคนยุคนี้ และแสวงหาคำตอบที่จะทำให้ตัวเองมีอายุมากกว่าพันปีอยู่อีกเช่นเดียวกับพวกเธอต้องการทราบในปัจจุบันนั้นแหละ”
บรรณดาลูกศิษย์จึงเข้าใจความคิดเห็นของอาจารย์
ฝ่ายอาจารย์ก็ให้ข้อคิดแก้ลูกศิษย์เพิ่มเติม
เพื่อนำไปเป็นแนวทางพัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น
“คนเราที่เกิดมาบนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะผ่านวัยมาเนินนานหรือพึ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปี
ให้ใช้สาระสำคัญของการเกิดไม่แต่คุณค่าที่เกิดขึ้นในชีวิต และประโยชน์ที่พึ่งสร้างสรรค์ต่อสังคมต่างหากเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำให้มีในตน เมื่อนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ได้นานหรือสั้น เวลาที่ผ่านมาก็ชื่อว่าคุ้มค่าสำหรับการเกิดของตัวเราเอง”
ข้อคิด
สาระสำคัญของการมีชีวิตไม่ได้อยู่ที่ว่าเราอยู่ได้นานเท่าไร แต่อยู่ที่ว่าเราเห็นคุณค่าของการเกิดมาอย่างไรต่างหาก
เพราะชีวิตที่ได้มา
คุณค่าที่ควรจะได้รับต่อยอดควรอยู่ที่การรู้จักทำชีวิตให้มีมูลค่าเพิ่มในต้นเอง
แม้ว่าวันหนึ่งเราจะดำรงอยู่ด้วยวันเวลาที่น้อยนิดก็ตาม
แต่เราก็ภูมิใจที่เราอยู่มีคุณค่าสำหรับตัวเอง พระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า
“ผู้มีชิวิตอยู่อย่างมีค่าแม้เพียงวันเดียว
ก็มีประโยชน์กว่าคนที่มีอายุตั้งร้อยปีแต่ทำตัวไร้สาระ”
การให้ที่จริงใจ
การให้ที่จริงใจ
เราจะแสดงน้ำใจให้แก่ใครๆ
สาระสำคัญไม่ใช่อยู่ที่วัตถุที่ยื่นให้
แล้วจบลงตรงนั้นเพียงอย่างเดียว
แต่ควรเป็นการหยิบยื่นให้จากใจที่ปรารถนาดีจริงๆ
ขงจื้อมหาปราชญ์แห่งเมืองจีน มีหลายชายผู้เปรื่องปราดไม่ต่างเขานามว่า “เค”
ซึ่งเป็นหลานโดยกำเนิดจากลูกชายของเขานามว่า “เล”
ต่อมาไม่นานเลผู้เป็นลูกชายก็ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ขงจื้ออายุได้ 70 ปี
ก่อนที่ขงจื้อจะเสียชีวิต
เขาได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่หลานรักอย่างสุดภูมิรู้จนทำให้ “เค” มีความคิดเป็นอยู่ด้วยอุดมการณ์อย่างเช่นปูขงจื้อของเขา
เมื่อสิ้นขงจื้อ เคจึงได้รวบรวมคำสอนของปู
และได้รับจ้างสอนหนังสือเด็กๆเพื่อหารายได้ในการยังชีพตนเองด้วยเมื่อลูกศิษย์เห็นอาจารย์แต่งกายมอซอ จึงถามด้วยความสงสัย
“อาจารย์ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าดีๆกินอาหารดีๆเหมือนอาจารย์คนอื่นละครับ
?”
เคมักจะให้คำตอบในทำนองว่า
“ปูขงจื้อของอาจารย์สอนไว้ว่า
ถ้านักศึกษาคนใดสนใจศึกษาหลักความจริงของชีวิต
เพีงเพราะเห็นรูปกายภายนอกของคนอื่น
บุคคลนั้นไม่เหมาะที่สนทนาด้วย”
ลูกศิษย์ก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้สิ่งที่อาจารย์ชี้แจงให้ทราบ
ต่อมามีเศรษฐีท่านหนึ่งทราบข่าว
จึงให้คนใช้นำเสื้อผ้าและอาหารไปให้เค
พร้อมกล่าวสำทับว่า
“เมื่อฉันให้ในสิ่งใดแก่ใคร
แนคิดว่าเหมือนกำลังโยนของเสียทิ้งลงไปในท้องร่องเท่านั้น”
พอเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ปรากฏว่าคนใช้ได้นำเสื้อผ้าและอาหารกับมาเหมือนเดิม เศรษฐีจึงถามว่า
“อ้าว ทำไมนำของกลับมาล่ะ ?”
“เค เขาไม่ยอมรับครับนายท่าน”
เศรษฐีรับทราบดั้งนั้นแล้วก็เกิดความสงสัยยิ่งนัก
จึงเดินทางไปสอบถามว่าทำไมถึงปฏิเสธความหวังดีของเขา คำตอบที่รับจากเคนั้นคือ
“ท่านให้ทานแก่ข้าพเจ้า เหมือนว่าโยนของเสียลงในท้องร่อง แต่ทานไม่ยอมถามข้าพเจ้าเลยว่า จะยอมเป็นท้องร่องให้ทานทิ้งของเสียหรือไม่”
เหตุผลที่เคกล่าวดั้งนั้น
ก็เพื่อให้เศรษฐีได้ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ว่า
ควรมีวิธีการปฏิบัติเช่นไรการจึงจะเป็นความถูกต้องและดีงาม ไม่ใช่ว่าให้แล้วก้ไปโดยไม่มีการใส่ใจต่อผู้รับแต่ประการใด
ข้อคิด
เราจะแสดงน้ำใจให้แก่ใครสาระสำคัญไม่ใช่อยู่ที่วัตถุที่ยื่นให้แล้วจบลงตรงนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ควรต้องเป็นการหยิบยื่นให้จากใจที่ปรารถนาดีจริงๆ
เพื่อเป็นประโยชน์ในการส่งผลให้ผู้รับมีความรู้สึกดีที่จะช่วยต่อยอด
สิ่งดีๆด้วยตัวของเขาเอง
ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดด้วยการลุกขึ้นสู้ใหม่เพราะได้กำลังใจจากเรา หรือการมีชีวิตอยู่ให้ได้เพราะได้รับความเอื้ออารีจากคนที่หยิบยื่นสิ่งดีๆมอบให้มาจึงจะเชื่อว่ามีคุณค่าจริง
เพราะไม่รู้จึงต้องสอน
เพราะไม่รู้จึงต้องสอน
ถึงแม้อาจารย์จะอยู่เพียงลำพังก็ไม่เป็นไร
แต่รู้ศิษย์ผู้หน้าส่งสารที่ใครๆต่างตราหน้าว่าเป็นหัวขโมยคนนี้ไม่รู้แม่กระทั้งว่าอะไรผิดอะไรถูกอะไรควรอะไรไม่ควร
ถ้าอาจารย์ไม่สอนให้เข้ารู้จักผิดชอบชั่วดีแล้วใครเล่าจะสอนเขา
อาจารย์บันไกเป็นอาจารย์เซนที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก ทั้งเก่าและใหม่คลเคล้ากันไป
แต่ละปีจะมีคนมาศึกษาเซนกับท่านอย่างล้นหลาม ในจำนวนนั้นก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่ท่านก็ยินดีที่จะสอนพวกเขา
มีครั้งหนึ่งลุกศิษย์คนหนึ่งของท่านถูกจับด้วยข้อหาลักทรัพย์เหล่าลุกศิษย์ที่หวังดีจึงรายงานให้อาจารย์บันไกทราบพร้อมทั้งเสนอให้ขับไล่เขาออกจากสำนัก แต่อาจารย์บันไกก็ไม่ว่ากล่าวอะไร
ต่อมาลูกศิษย์หัวขโมยก็ถูกจับข้อหาลักทรัพย์อีกเช่นเคย
อาจารย์บันไกก็เชยอีกหลายครั้งเข้าทำให้พวกลูกศิษย์จำนวนมากไม่พอใจ จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับลุกศิษย์คนนั้นออกไป มิเช่นนั้นพวกเขาจะพากันไปอยู่ที่อื่น
“เมื่อรับทราบข้อเสนอเรียบร้อย
อาจารย์บันไกจึงเรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด แล้วกล่าวในท่ามกลางที่ประชุมว่า “
พวกเธอในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาด
รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรพวกเธอจะไปอยู่หรือไปเรียนที่ไหนก็เชิญตามสะดวกเถิด
ถึงแม้อาจารย์จะอยู่เพียงลำพังก็ไม่เป็นไรแต่ลูกศิษย์ผู้หน้าสงสารที่ใครๆต่างตราหน้า
ว่าเป็นหัวขโมยนี้ไม่รู้แม้กระทั้งอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ถ้าอาจารย์ไม่สอนให้เขารู้จักผิดชอบชั่วดี แล้วใครเล่าจะสอนเขา แม้ว่าพวกเธอจะไปจากอาจารย์ทั้งหมดก็ตาม อาจารย์ก็คงต้องให้เขาอยู่ด้วยเช่นเดิม
จนกว่าเขาจะรู้จักสิ่งที่ดีในชีวิตของเขาเองนั้นแหละ”
ข้อคิด
การที่เราผิดพลาดแล้วได้รับการให้อภัยจากผู้อื่น ถือว่าเป็นความโชคดีมมากของชีวิต เพราะเป็นการได้รับโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้ดีขึ้น
ขณะเดียวกันเราก็ควรรู้ที่จะพัฒนาตนเองให้ดีกว่าเดิม
ไม่ใช่ยินดีกับการได้รับการให้อภัยแล้วหยุดเรียนรู้ที่จะแก้ไข เพราะเมื่อวันหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นใจ
เราจะเดียวดายจากคนรอบข้างที่เคยเห็นคุณค่าในตัวเรา เพราะเราเป็นผู้ผลักไสให้เขามองเราว่าเป็นคนไร้ค่าด้วยตัวของเราเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)